การกินไขมันไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด
ไขมัน เป็นหนึ่งในสารอาหารที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการะบวนการต่างๆ แต่ก็ยังมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับไขมันอยู่ เราเลยอยากมาทำบทความบอกว่า การกินไขมันไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด
มารู้จักกับไขมัน
ไขมัน คือเป็นแหล่งพลังงานของร่างกายนอกเหนือจากโปรตีน และคาร์โบไฮเดรต ไขมันให้พลังงาน 9 แคลอรีต่อกรัม ซึ่งถือเป็นประมาณสองเท่าเมื่อเทียบกับพลังงานที่คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนให้แก่ร่างกาย ( ที่ 4 แคลอรีต่อกรัม )
ไขมันจะสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อและปลดปล่อยเป็นกรดไขมันเมื่อร่างกายต้องการพลังงาน โดยปกติลำดับการใช้พลังงานของร่างกายจะเริ่มที่คาร์โบไฮเดรตก่อน แล้วจึงจะค่อยใช้พลังงานจากไขมัน
และใช้พลังงานจากโปรตีนเป็นลำดับสุดท้าย นอกจากเป็นแหล่งพลังงานแล้ว ไขมันยังทำหน้าที่เป็นโครงสร้าง ได้แก่โครงสร้างของผนังเซลล์ของเซลล์ทั่วร่างกาย ในสมองมีส่วนประกอบของไขมันมากกว่าร้อยละ 60
โดย DHA เป็นกรดไขมันหลักที่อยู่ในสมอง ไขมันยังทำหน้าที่เป็นตัวพาของวิตามิน ได้แก่ วิตามินที่ละลายในไขมัน คือวิตามิน A D E และ K ช่วยส่งเสริมการดูดซึมของวิตามินเหล่านี้ที่ลำไส้

1. ไขมันอิ่มตัว
พบมากในน้ำมันมะพร้าว เนื้อสัตว์ มักจับตัวเป็นไขที่อุณหภูมิห้อง ( เมืองหนาว ) มีผลต่อการเพิ่มคอเลสเตอรอล จึงควรกินอย่างพอดี
2. ไขมันทรานส์
เป็นผลจากฝีมือมนุษย์ในการปรับปรุงโครงสร้างเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา มีข้อสรุปว่าไขมันทรานส์ไม่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ เพราะเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลไม่ดี และลดปริมาณคอเลสเตอรอลดี
3. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว
เป็นไขมันที่ละลายในอุณหภูมิห้อง และได้รับการพิจารณาว่าดีต่อหัวใจ แหล่งที่พบมากอยู่ในน้ำมันมะกอก น้ำมันอะโวคาโด อะโวคาโด อัลมอนด์ และเนยถั่ว
4. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
ไขมันเหล่านี้ได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า-3 มีอยู่ในปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาแซลมอน ในเมล็ดเฟลกซ์ เมล็ดเจีย กรดไขมันโอเมก้า – 6 มีอยู่ในน้ำมันพืช น้ำมันถั่วเหลือง ทั้งสองชนิดนี้มีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ แต่ควรระวังเพราะหากบริโภคโอเมก้า – 6 มากเกินไปจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้
ไขมันกับคอเลสเตอรอล
ไขมันในอาหารทั้งหมดล้วนส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลทั้งดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับชนิดของไขมันนั้นๆ
ไขมัน | รายละเอียด |
ไขมันอิ่มตัว | จะเพิ่มคอเลสเตอรอลไม่ดีแต่ก็เพิ่มคอเลสเตอรอลดีด้วยเช่นกัน จึงส่งผลเป็นกลางต่อระดับไขมันในเลือดหากกินอย่างพอเหมาะ |
ไขมันทรานส์ | เพิ่มคอเลสเตอรอลไม่ดีในขณะเดียวกันก็ลดคอเลสเตอรอลดีจึงเป็นเหตุให้องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาสั่งห้ามตั้งแต่ปี 2018 |
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว | ลดคอเลสเตอรอลไม่ดีและเพิ่มคอเลสเตอรอลดี |
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน | ลดคอเลสเตอรอลไม่ดีและเพิ่มคอเลสเตอรอลดี |

ประเภทของไขมัน
ร่างกายควรได้รับพลังงานจากไขมันประมาณร้อยละ 20 ถึง 35 ของปริมาณพลังงานที่ได้รับทั้งหมดต่อวัน ไม่ควรรับประทานไขมันต่ำกว่าร้อยละ 15 ถึง 20 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน
เนื่องจากอาจส่งผลต่อการลดลงของคอเลสเตอรอลดี ซึ่งถือเป็นไขมันชนิดดีต่อร่างกาย และส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของไตรกลีเซอไรด์ ในที่นี้ถ้าพิจารณาจากคุณประโยชน์ของไขมัน สามารถแบ่งได้เป็นสามกลุ่มคือ กลุ่มของไขมันดี กลุ่มของไขมันเลว และกลุ่มของไขมันระหว่างกลาง
1. ไขมันดี
ส่วนมากเป็นไขมันที่ได้จากพืช ถั่ว เมล็ดพืช และปลา ไขมันประเภทนี้เป็นกลุ่มของไขมันไม่อิ่มตัว สาเหตุที่เรียกว่าไม่อิ่มตัวเนื่องจากเมื่อพิจารณาโครงสร้างของไขมันชนิดนี้จะมีปริมาณไฮโดรเจนที่เชื่อมพันธะกับโครงสร้างน้อยกว่า
ทำให้มีบางตำแหน่งที่ไม่มีการเกิดพันธะของไฮโดรเจนกับโครงสร้างหลักเกิดเป็นพันธะคู่ขึ้น ไขมันชนิดนี้เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง แช่เย็นไม่เป็นไข ไม่เป็นของแข็ง
1. กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่ 1 ตำแหน่ง ( monounsaturated fatty acid; MUFA )
แหล่งของ MUFA ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคาโนลา อโวคาโด ถั่ว น้ำมันดอกทานตะวัน การศึกษาพบว่าผู้คนในประเทศกรีซและเมดิเตอเรเนียนมีความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจต่ำกว่าแม้ว่าจะรับประทานไขมันในปริมาณสูง
เหตุผลเนื่องมาจากไขมันส่วนใหญ่ที่พวกเขารับประทานนั้นไม่ใช่ไขมันประเภทไขมันอิ่มตัวที่มาจากสัตว์ แต่เป็นไขมันที่มาจากน้ำมันมะกอกเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อแนะนำว่าควรรับประทาน MUFA ในปริมาณเท่าใดต่อวัน แต่ Institute of Medicine สหรัฐอเมริกาแนะนำว่า ปริมาณไขมันที่ร่างกายได้รับควรจะเป็น MUFA ร่วมกันกับ PUFA ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
2. กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่มากกว่า 1 ตำแหน่ง ( polyunsaturated fatty acid; PUFA )
แหล่งของ PUFA ได้แก่ น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย PUFA ถือเป็นไขมันจำเป็นต่อร่างกาย หมายความว่าไขมันเหล่านี้ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น
PUFA ใช้เพื่อเป็นส่วนประกอบในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อไมอิลินห่อหุ้มเซลล์ประสาท และยังเป็นส่วนสำคัญของการแข็งตัวของเลือด การเคลื่อนไหวของร่างกาย และเป็นสารตั้งต้นของสารต้านการอักเสบ การรับประทานไขมันประเภทนี้สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดีได้
2.1) กลุ่มของกรดไขมันโอเมก้า – 3
สามารถช่วยป้องกันและช่วยรักษาโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ยังช่วยลดความดันโลหิต เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลดี และช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ มีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนว่ากรดไขมันโอเมก้า – 3 สามารถช่วยลดการใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์ในผู้ป่วยโรครูมาตอยด์
การศึกษาหลายการศึกษาเชื่อมโยงถึงคุณประโยชน์ของโอเมก้า – 3 ต่อสุขภาพ ได้แก่ ลดโอกาสสมองเสื่อม แต่ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ แหล่งของกรดไขมันโอเมก้า – 3 ได้แก่ แซลมอน แมคเคอเรล ซาร์ดีน เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท น้ำมันดอกคาโนลา
2.2) กลุ่มของกรดไขมันโอเมก้า – 6
มีการศึกษาว่าเกี่ยวข้องกับการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ แหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-6 ได้แก่ ในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด

2. ไขมันเลว
กลุ่มของไขมันทราน์ ส่วนมากเกิดจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนลงในพันธะคู่ของไขมันดีเพื่อป้องกันการเหม็นหืน ไขมันกลุ่มนี้สามารถเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้องได้ ไขมันทรานส์จะส่งผลตรงข้ามกับไขมันดี คือเพิ่มปริมาณของคอเลสเตอรอลไม่ดี
ในกระแสเลือดและลดระดับคอเลสเตอรอลดี มีส่วนในการสร้างการอักเสบ ที่มีผลเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหัวใจ และยังส่งผลต่อภาวะต้านทานอินซูลินที่เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แหล่งของไขมันกลุ่มนี้ พบได้ในไขมันที่เป็นของแข็ง เช่น มาร์การีน ชอตเทนิ่ง ซึ่งส่วนมากพบในเบเกอรี
3. ไขมันระหว่างกลาง
เป็นไขมันประเภทกรดไขมันอิ่มตัว ( saturated fat ) โดยปกติจะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง แช่เย็นแล้วเป็นไข แหล่งของไขมันชนิดนี้ เช่น ในเนื้อแดง น้ำนม ผลิตภัณฑ์จากนม ชีส น้ำมันมะพร้าว การรับประทานไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูงมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอลไม่ดี
เพิ่มโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็งจากการอุดกั้นของไขมัน รายงานการศึกษาในปัจจุบันมีปริมาณไม่มากที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างไขมันอิ่มตัวกับการเกิดโรคหัวใจ แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนไปรับประทานไขมันในกลุ่ม PUFA แทนสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
หลังจากที่อ่าน การกินไขมันไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด ก็คงทำให้คุณรู้จักไขมันมากขึ้น แต่ถ้าคุณเป็นคนชอบดื่มเราอยากจะแนะนำบทความนี้แทน เทคนิคแก้แฮงค์ แต่ถ้าคุณยังเป็นเด็กที่กำลังเรียนอยู่เลยอยากแนะนำ การศึกษารูปแบบใหม่ เพื่อจะได้ปรับตัวได้รวดเร็วขึ้น